หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2554

การทำ Gif Animation


มาสร้าง Gif Animation กันเถอะ



ความจริงแล้วการทำ gif อนิเมชั่นมีหลายวิธี แต่ถ้าใครมีPhotoshop และImageReadyอยู่แล้ว ก็ลองทำด้วยวิธีนี้ดู ง่ายดี

ขั้นตอนที่ 1.
 ตรวจดูว่าเครื่องมี Adobe Photoshop ลงไว้ยัง ปกติถ้าลง Photoshopไว้แล้ว,ก็จะมีImageReady ด้วยอยู่แล้ว

ขั้นตอนที่ 2. เตรียมรูปที่จะนำมาทำ  ตัวอย่างนี้เตรียม 4 รูป ตามด้านล่างเลย
making-gif-animation-01

ขั้นตอนที่ 3. เปิดทุกรูปที่จะนำมาทำอนิเมชั่นด้วยPhotoshop จากนั้นลากทุกรูปมารวมกันที่รูปเดียว(ถ้าจะให้ตรงกันเป๊ะให้กดShiftค้างไว้ด้วย)

making-gif-animation-2

ขั้นตอนที่
 4. ตอนนี้หากเพื่อนๆทำตามรูป 4 รูปก็จะมาอยู่ไฟล์เดียวกันแล้ว ขั้นตอนต่อไปให้เราคลิกที่ปุ่มImageReadyในPhotoshop เพื่อย้ายไปโปรแกรม ImageReady  แต่ก่อนจะไปเซพไว้ก่อนก็ดี เซฟเป็นPSDนะ

making-gif-animation-3

ขั้นตอนที่ 5. พอเข้ามาที่Image Readyแล้ว
ให้เปิดหน้าต่าง Animation  (เลือกwindow=>ติ๊กถูกที่ animation).
จากนั้นคลิกที่ปุ่ม Duplicate เพื่อคัดลอกFrame (ผมก็อปปี้เพิ่มอีก 3 Frameนะ)


making-gif-animation-4

ขั้นตอนที่ 6. Frame 1. ให้มันแสดงเฉพาะ picture01 และซ่อนlayerอื่นๆไว้ [ตรงแถบLayerที่เป็นรูปดวงตานะครับ ถ้ามีดวงตาหมายถึงแสดง (show) ถ้าไม่มีแสดงว่าซ่อนครับ], Frame 2. แสดงเฉพาะpicture02Frame 3. แสดงเฉพาะ picture03Frame 4. แสดงเฉพาะ picture04. (ลองกดplayดูได้ครับถ้าปรับเสร็จแล้ว) จากนั้นตรงเวลาด้านล่าง0.1sec ให้เราปรับเวลาตามชอบใจ

making-gif-animation-5


ขั้นตอนที่ 7. ถ้าปรับแต่งเสร็จเรียบร้อยแ้ล้วให้เซพโดยเลือก Save Optimized As. มันจะเซพเป็นนามสกุล gif

making-gif-animation-6

เสร็จแล้ว! แค่นี้ก็เรียบร้อย :)
making-gif-animation-7



Gif Animation ที่สมาชิกกลุ่มได้ทำขึ้น
นายปุริม บดีเศรษฐ์ 5305600145

น.ส.อารีรัตน์ จิตประสพเนตร 5305600109

น.ส.ปัณฑ์พัสธร ดิลกรัตน์สุชาติ 5305600117

น.ส.ธัญญรัศม์ ดิลกรัตน์สุชาติ 5305600116

นายอรรถชัย ภูมิราช 5305600141


การออกแบบ Web Site


การออกแบบWebsite

         การออกแบบเว็บไซต์ควรคำนึงถึงการใช้งานเป็นหลักเพื่อกำหนดองค์ประกอบภายในเว็บไม่ว่าจะออกแบบอย่างไร ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการสร้างเว็บเพจเป็นสิ่งจำเป็นซึ่งปัจจุบันสามารถทำได้ง่ายโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาความรู้ทางการเขียนโปรแกรมภาษา HTML อย่างแต่ก่อน เพียงรู้หลักเบื้องต้นบ้างเล็กน้องก็เพียงพอที่จะพัฒนาเว็บเพจได้ดีในระดับหนึ่งแล้ว โปรแกรมที่จะช่วยพัฒนาเว็บมีอยู่มากมายพอสมควรที่จะเลือกใช้ได้ตามความถนัดของผู้ที่จะลองพัฒนาเว็บเพจ ดังนั้นเมื่อจะลองเริ่มต้นสร้างเว็บเพจให้มีความเหมาสมควรคำนึงสิ่งต่อไปนี้ สิ่งที่ต้องคำนึงถึงในการออกแบบโฮมเพจที่ดี1.ความแปลก ความแตกต่าง (Contrast) คือแยกความแตกต่างที่อยู่บนจอภาพให้เห็นชัดเจน เช่นการใช้ตัวหนังสือ เส้น สี ขนาด ฯลฯ เพราะจะสามารถดึงดูดความสนใจได้ดี 2.การย้ำซ้ำ (Repetition) คือแบบแผนหรือสไตล์ของผู้ออกแบบ จะต้องมีลักษณะรูปแบบ สอดคล้องกันทั้งหมด 3.การจัดแถว การวางแนว (Alignment) คือ การจัดวางองค์ประกอบต่าง ๆ ต้องไม่สะเปะสะปะ ไร้เหตุผล ไม่ขัดกับความรู้สึก ของผู้อ่าน จัดให้ดูสะอาด 4.ความใกล้เคียง ความเกี่ยวเนื่อง (Proximity) คือ การจัดวางองค์ประกอบที่เกี่ยวเนื่องกัน ให้เป็นกลุ่มก้อนเดียวกัน        นอกจากนั้นยังมีสิ่งที่ไม่ควรทำอีก เช่น รูปประกอบเรื่องมีขนาดใหญ่เกินไป รูปที่ใช้ประกอบไม่มีความละเอียดของภาพ อยู่ในระดับที่สามารถรับได้ เน้นคำนั้นคำนี้มากมายจนเกินไป  

องค์ประกอบของการออกแบบเว็บไซต์ ต้องคำนึงถึง 
1. ความเรียบง่าย ได้แก่ มีรูปแบบที่เรียบง่าย ไม่ซับซ้อน และใช้งานได้สะดวก ไม่มีกราฟิกหรือตัวอักษรที่เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ชนิดและสีของตัวอักษรไม่มากจนเกินไปทำให้วุ่นวาย  
2. ความสม่ำเสมอ ได้แก่ ใช้รูปแบบเดียวกันตลอดทั้งเว็บไซต์ เช่น รูปแบบของหน้า สไตล์ของกราฟิก ระบบเนวิเกชันและโทนสี ควรมีความคล้ายคลึงกันตลอดทั้งเว็บไซต์ 
3. ความเป็นเอกลักษณ์ การออกแบบเว็บไซต์ควรคำนึงถึงลักษณะขององค์กร เพราะรูปแบบของเว็บไซต์จะสะท้อนถึงเอกลักษณ์และลักษณะขององค์กรนั้น ๆ เช่น ถ้าเป็นเว็บไซต์ของทาง ราชการ จะต้องดูน่าเชื่อถือไม่เหมือนสวนสนุก ฯลฯ 
4. เนื้อหาที่มีประโยชน์ นื้อหาเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในเว็บไซต์ ดังนั้นควร     
- จัดเตรียมเนื้อหาและข้อมูลที่ผู้ใช้ต้องการให้ถูกต้อง และสมบูรณ์     
 - มีการปรับปรุงและเพิ่มเติมให้ทันเหตุการณ์อยู่เสมอ     
 - เนื้อหาไม่ควรซ้ำกับเว็บไซต์อื่น จึงจะดึงดูดความสนใจ 
5. ระบบเนวิเกชันที่ใช้งานง่าย ต้องออกแบบให้ผู้ใช้เข้าใจง่ายและใช้งานสะดวก      
- ใช้กราฟิกที่สื่อความหมายร่วมกับคำอธิบายที่ชัดเจน     
 - มีรูปแบบและลำดับของรายการที่สม่ำเสมอ เช่น วางไว้ ตำแหน่งเดียวกันของทุกหน้า  
6. ลักษณะที่น่าสนใจ หน้าตาของเว็บไซต์จะต้องมีความสัมพันธ์กับคุณภาพขององค์ประกอบต่างๆ เช่น คุณภาพของกราฟิกที่จะต้องสมบูรณ์ การใช้สี การใช้ตัวอักษรที่อ่านง่าย สบายตา การใช้โทนสีที่เข้ากันลักษณะหน้าตาที่น่าสนใจนั้นขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละบุคคล  
7. การใช้งานอย่างไม่จำกัด ผู้ใช้ส่วนใหญ่สามารถเข้าถึงได้มากที่สุด    
 - เลือกใช้บราวเซอร์ชนิดใดก็ได้ในการเข้าถึงเนื้อหา     
 - สามารถแสดงผลได้ทุกระบบปฏิบัติการและความละเอียดหน้าจอต่างๆ กันอย่างไม่มีปัญหาเป็นลักษณะสำคัญสำหรับผู้ใช้ที่มีจำนวนมาก  
8. คุณภาพในการออกแบบ การออกแบบและเรียบเรียงเนื้อหาอย่างรอบคอบ สร้างความรู้สึกว่าเว็บไซต์มี….คุณภาพ ถูกต้อง และเชื่อถือได้  
9. ระบบการใช้งานที่ถูกต้อง การใช้แบบฟอร์มสำหรับกรอกข้อมูลต้องสามารถกรอกได้จริง ใช้งานได้จริง      ลิงค์ต่างๆ จะต้องเชื่อมโยงไปหน้าที่มีอยู่จริงและถูกต้อง ระบบการทำงานต่างๆ ในเว็บไซต์จะต้องมีความแน่นอนและทำหน้าที่ได้อย่างถูกต้อง
ขั้นตอนการออกแบบเว็บเพจ  
    ก่อนจะลงมือสร้างเว็บ จำเป็นต้องผ่านกระบวนการออกแบบให้ดีก่อน นอกจากความสวยงามแล้วสิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือ
 1.  มีสารบัญแสดงรายละเอียดของเว็บเพจนั้น 
 2. เชื่อมโยงข้อมูลไปยังเป้าหมายได้ตรงกับความต้องการ  
3. เนื้อหากระชับ  สั้น  ทันสมัย  
4. สามารถตอบโต้กับผู้ใช้ได้ทันท่วงที  
5. มีรูปภาพประกอบการนำเสนอที่ดี ไม่ควรมีรูปภาพมากเกินไป  
6. เข้าสู่กลุ่มเป้าหมายได้อย่างถูกต้อง  
7. ใช้งานง่าย  
8. เป็นมาตรฐานเดียวกัน
ขั้นตอนการพัฒนาเว็บเพจ 
1. วางแผน/กำหนดข้อหัว และเนื้อหาที่นำเสนอ 
2. สร้างผังความสัมพันธ์ของข้อมูลแบบรากต้นไม้  
3. กำหนดชื่อไฟล์ของเอกสารเว็บ

 การตั้งชื่อไฟล์และโฟลเดอร์ ชื่อและนามสกุลไฟล์ ตลอดจนโฟลเดอร์ต่างๆ ควรใช้อักษรภาษาอังกฤษตัวพิมพ์เล็ก หรือผสมกับตัวเลข 0-9 หรือเครื่องมือขีดลบ/ขีดล่าง ถ้ามีไฟล์จำนวนมากที่มีชื่อ และนามสุกลเป็นตัวพิมพ์ใหญ่ หรือผสม สามารถดาวน์โหลดโปรแกรมเปลี่ยนชื่อไฟล์ตัวพิมพ์ใหญ่ เป็นตัวพิมพ์เล็กจากเว็บ www.nectec.or.th/coursewareเพื่อช่วยแปลชื่อได้


 4. สร้างโฟลเดอร์เฉพาะสำหรับเอกสารเว็บแต่ละชุด/เรื่อง ในโฟลเดอร์ที่สร้าง สามารถสร้างโฟลเดอร์ย่อย เพื่อเก็บไฟล์ให้เป็นระบบระเบียบได้ 
5. จัดหาภาพหรือสร้างภาพที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา ได้แก่
     สร้างภาพด้วยโปรแกรมกราฟิก เช่น Adobe PhotoShop
     คัดเลือกจาก Clipart fot Web เช่น CD-ROM รวมภาพสำหรับเว็บ 

6. ภาพที่เลือกใช้ทั้งหมด ต้องเก็บไว้ในโฟลเดร์ที่สร้างไว้ก่อนแล้ว 
7. สร้างเอกสารเว็บ โดยลงรหัส HTML หรือใช้โปรแกรมสร้างเว็บช่วย       
7.1 การสร้างเว็บเพจ โดยลงรหัส HTML
     - ใช้ภาษา HTML โดยป้อนคำสั่งภาษา HTML ด้วยโปรแกรม Text Editor เช่น NotePad
     - ใส่คำสั่งได้ตามต้องการ
  - ไม่เหมาะสำหรับผู้พัฒนาในระดับต้น        

7.2 .ใช้โปรแกรมสร้างเอกสร้างเว็บ เช่น Macromedia Dreamweaver
         - ไม่ต้องศึกษาภาษา HTML
         - จุดด้อยคือ โปรแกรมจะไม่รู้จักคำสั่ง HTML ใหม่ๆ 

8. ภาษาไทยกับการสร้างเว็บ เลือกรูปแบบการเข้ารหัสภาษาไทยที่ถูกต้อง Windows-874 หรือTIS-620
9. กำหนดฟอนต์ให้กับข้อมูล เพื่อให้แสดงผลภาษาไทยได้ถกต้อง เช่น MS San Serif, Thonburi เป็นฟอนต์ที่เหมาะสมที่สุดในการแสดงผลภาษาไทย เช่น การเว้นวรรค เป็นระยะในประโยคเพื่อให้เบราเซอร์แสดงผลภาษาไทย  

10. ไฟล์เอกสาร HTML ทุกไฟล์ต้องบันทึกไว้ในโฟลเดอร์ที่สร้างไว้ก่อน รวมกับรูปภาพที่จัดเตรียมไว้แล้ว 
11. ตรวจสอบผลเอกสาร HTML ด้วยเบราเซอร์ซึ่งมีหลายค่ายหลายรุ่น เว็บเบราเซอร์แต่ละค่าย แต่ละรุ่น จะรู้จักคำสั่ง HTML ไม่เท่ากัน 
12. ส่งข้อมูลขึ้นเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่าย (server)
13. 
ตรวจสอบผลของเครื่องคอมพิวเตอร์ลูกข่ายที่เรียกดูข้อมูลจากเครื่องแม่ข่าย



รวางแผน
1. ควรมีรายการสารบัญแสดงรายละเอียดของเว็บเพจนั้น  การเข้ามาในเว็บเพจนั้นเปรียบเสมือนการอ่านหนังสือ วารสารหรือตำราเล่มหนึ่ง การที่ผู้ใช้จะเข้าไปค้นหาข้อมูลได้ ผู้สร้างควรแสดงรายการทั้งหมดที่เว็บเพจนั้นมีอยู่ให้ผู้ใช้ทราบ โดยอาจจะทำอยู่
ในรูปแบบของสารบัญ หรือการเชื่อมโยง การสร้างสารบัญนี้จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลภายในเว็บเพจได้อย่างรวดเร็ว 
2. เชื่อมโยงข้อมูลไปยังเป้าหมายได้ตรงกับความต้องการมากที่สุด   การสร้างจุดเชื่อมโยง นั้นสามารถจัดทำในรูปของตัวอักษรหรือรูปภาพก็ได้ แต่ควรที่จะแสดงจุดเชื่อมโยงให้ผู้ใช้สามารถเข้าใจได้ง่าย และที่นิยมสร้างกันนั้น โดยส่วนใหญ่เมื่อมีเนื้อหาตอนใดเอ่ยถึงส่วนที่เป็นรายละเอียดเกี่ยวเนื่องกันก็จะสร้างเป็นจุดเชื่อมโยงทันที นอกจากนี้ ในแต่ละเว็บเพจ ที่สร้างขึ้นมาควรมีจุดเชื่อมโยงกลับมายังหน้าแรกของเว็บไซต์ที่กำลังใช้งานอยู่ด้วย ทั้งนี้เผื่อว่าผู้ใช้เกิดหลงทางและไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี จะได้มีหนทางกลับมาสู่จุดเริ่มต้นใหม่
3. เนื้อหากระชับ สั้นและทันสมัย    เนื้อหาที่นำเสนอกับผู้ใช้ควรเป็นเรื่องที่กำลังมีความสำคัญ อยู่ในความสนใจของผู้คนหรือเป็นเรื่องที่ต้องการให้ผู้ใช้ทราบ และควรปรับปรุงให้ทันสมัยอยู่เสมอ 
4. สามารถโต้ตอบกับผู้ใช้ได้อย่างทันท่วงที   ควรกำหนดจุดที่ผู้ใช้สามารถแสดงความคิดเห็น หรือให้คำแนะนำกับผู้สร้างได้ เช่น ใส่อีเมล ของผู้ทำ ลงในเว็บเพจ โดยตำแหน่งที่เขียนควรเป็นที่ส่วนบนสุดหรือส่วนล่างสุดของเว็บเพจนั้นๆ ไม่ควรเขียนแทรกไว้ที่ตำแหน่งใดๆ ของจอภาพ เพราะผู้ใช้อาจจะหาไม่พบก็ได้ 
5การใส่ภาพประกอบ   ควรใช้รูปภาพที่สามารถสื่อความหมายกับผู้ใช้ได้ตรงตามวัตถุประสงค์ การใช้รูปภาพเพื่อเป็นพื้นหลัง ไม่ควรเน้นสีสันที่ฉูดฉาดมากนัก เพราะอาจจะไปลดความเด่นชัดของเนื้อหา ควรใช้ภาพที่มีสีอ่อนๆ ไม่สว่างจนเกินไป ตัวอักษรที่นำมาแสดงบนจอภาพก็เช่นเดียวกัน ควรเลือกขนาดที่อ่านง่าย ไม่มีสีสันและลวดลายมากเกินความจำเป็น และที่สำคัญไม่ควรมีขนาดใหญ่หรือมีจำนวนมากเกินไป เพราะอาจจะทำให้เนื้อหาสาระของเว็บเพจนั้นถูกลดความสำคัญลง
 6. เข้าสู่กลุ่มเป้าหมายได้อย่างถูกต้อง   การสร้างเว็บเพจนั้นสิ่งหนึ่งที่ต้องคำนึงถึงมากที่สุดก็คือกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการให้เข้ามาชมและใช้บริการของเว็บเพจที่สร้างขึ้น การกำหนดกลุ่มเป้าหมายอย่างชัดเจนย่อมทำให้ผู้สร้างสามารถกำหนดเนื้อหา และเรื่องราวเพื่อให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ได้มากกว่า
 7. ใช้งานง่าย    สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งของการสร้างเว็บเพจคือ จะต้องใช้งานง่าย เนื่องจากอะไรก็ตามถ้ามีความง่ายในการใช้งานแล้ว โอกาสที่จะประสบความสำเร็จย่อมสูงขึ้นตามลำดับ และการสร้างเว็บเพจ ให้ง่ายต่อการใช้งานนั้น ขึ้นอยู่กับเทคนิคและประสบการณ์ของผู้สร้างแต่ละคน 
 8. เป็นมาตรฐานเดียวกัน   เว็บเพจที่ถูกสร้างขึ้นมานั้น อาจจะมีจำนวนข้อมูลมากมายหลายหน้า การทำให้ผู้ใช้งานไม่เกิดความสับสนกับข้อมูลนั้น จำเป็นต้องกำหนดข้อมูลให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยอาจแบ่งเนื้อหาออกเป็นส่วนๆ ไป หรือจัดเป็นกลุ่ม เป็นหมวดหมู่ เพื่อความเป็นระเบียบน่าใช้งาน

หลักการใช้สี     อ้างอิงจากหนังสือ คู่มือ Graphic Design ออกแบบสิ่งพิมพ์ รวบรวมโดย ประพันธ์ งามเนตร    การใช้สีกับงานออกมานั้น อยู่ที่นักออกแบบมีจุดมุ่งหมายใด ที่จะสร้างความสนใจ ความเร้าใจต่อผู้ดู เพื่อให้เข้าถึงจุดหมายที่ตนต้องการ หลักของการใช้มีดังนี้  

1.การใช้สีวรรณะเดียว ความหมายของสีวรรณะเดียว (tone) คือกลุ่มสีที่แบ่งออกเป็นวงล้อของสีเป็น 2วรรณะ คือ 

1.1 วรรณะร้อน (warm tone) ซึ่งประกอบด้วย สีเหลือง สีส้ม สีแดง สีม่วง สีเหล่านี้ให้อิทธิพล ต่อความรู้สึก ตื่นเต้น เร้าใจ กระฉับกระเฉง ถือว่าเป็นวรรณะร้อน   

1.2  วรรณะเย็น (cool tone) ประกอบด้วย สีเหลือง สีเขียว สีน้ำเงิน สีม่วง สีเหล่านี้ดู เย็นตา  ให้ความรู้สึก สงบ สดชื่น (สีเหลืองกับสีม่วงอยู่ได้ทั้งสองวรรณะ)
     การใช้สีแต่ละครั้งควรใช้สีวรรณะเดียวในภาพทั้งหมด เพราะจะทำให้ภาพความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน  (เอกภาพกลมกลืน มีแรงจูงใจให้คล้อยตามได้มาก  

2.การใช้สีต่างวรรณะ    หลักการทั่วไป ใช้อัตราส่วน 80% ต่อ 20% ของวรรณะสี คือ ถ้าใช้สีวรรณะร้อน80% สีวรรณะเย็นก็ 20% เป็นต้น ซึ่งการใช้แบบนี้สร้างจุดสนใจของผู้ดู ไม่ควรใช้อัตราส่วนที่เท่ากันเพราะจะทำให้ไม่มีสีใดเด่น ไม่น่าสนใจ 3.การใช้สีตรงกันข้าม      สีตรงข้ามจะทำให้ความรู้สึกที่ตัดกันรุนแรง สร้างความเด่น และเร้าใจได้มากแต่หากใช้ไม่ถูกหลัก หรือ ไม่เหมาะสม หรือใช้จำนวนสีมากสีจนเกินไป ก็จะทำให้ความรุ้สึกพร่ามัว ลายตา ขัดแย้ง ควรใช้สีตรงข้าม ในอัตราส่วน 80% ต่อ20% หรือหากมีพื้นที่เท่ากันที่จำเป็นต้องใช้ ควรนำสีขาว หรือสีดำ เข้ามาเสริม เพื่อ ตัดเส้นให้แยกออก จาก กันหรืออีกวิธีหนึ่งคือการลดความสดของสีตรงข้ามให้หม่นลงไป สีตรงข้ามมี คู่ได้แก่ 

สีเหลือง     ตรงข้ามกับ     สีม่วง     

สีแดง        ตรงข้ามกับ     สีเขียว       

สีน้ำเงิน      ตรงข้ามกับ     สีส้ม      

สีเขียวเหลือง     ตรงข้ามกับ     สีม่วงแดง  

สีส้มเหลือง        ตรงข้ามกับ     สีม่วงน้ำเงิน      

สีส้มแดง           ตรงข้ามกับ     สีเขียวน้ำเงิน 

 พื้นฐานในการออกแบบเว็บไซต์ที่ดี    มีเนื้อหาเป็นประโยชน์ ตรงกับที่ผู้ใช้ต้องการ 
     มีการปรับปรุงเพิ่มเติมเนื้อหา และพัฒนาเว็บไซต์อยู่เสมอ 
     ใช้เวลาในการดาวน์โหลดน้อย แสดงผลเร็ว ใช้งานที่สะดวก เข้าใจง่าย 
โปรแกรมที่ใช้การสร้างเว็บไซต์

1. Dreamweaver

2. FrontPage

3. HomeSite

4. HotDog Pro

5. GoLive

6. NetObjects Fusion

7. CoffeeCup

หลักการออกแบบ webpage 1. รูปภาพ (Graphic or Photo) การใช้รูปภาพในเว็บไซต์มีอยู่ จุดประสงค์ คือ เพื่อเพิ่มความสวยงามและดึงดูดความสนใจในการเข้าชมเพื่อแสดงข้อมูล และรายบละเอียดต่าง ๆ ของสินค้า ทั้งนี้รูปภาพดังกล่าวจะมีทั้งรูปที่เป็นภาพจริง (Photo) และภาพที่วาดขึ้นโดยใช้เทคนิคต่าง ๆ (Graphic) โดยรูปภาพดังกล่าวจะสามารถใช้เป็นจุดเชื่อมโยงได้อีกด้วยโดยที่สามารถทำการสร้างจุดเชื่อมโยงได้หลายจุดในภาพ ภาพ (เรียกว่าImage map) หรือการแม็ปภาพ  2. แบบฟอร์ม (Form) ในการส่งข้อมูลผ่าน Web Site นอกเหนือการเขียน e-mail ยังสามารถส่งข้อมูลในแบบฟอร์มที่จัดทำอยู่ใน Web Site ได้โดยมีข้อดีคือทางผู้ใช้จะตอบเฉพาะคำถามที่ทางผู้ดูแล Web Site ต้องการทราบเท่านั้น โดยจะประหยัดเวลาทั้งสองฝ่ายในการเก็บข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้แบบฟอร์มต่าง ๆ จะมีอยู่ในหลายรูปแบบเช่น Check Box, Radio Button หรือ Scroll Bar ก็ได้  3. ภาพยนตร์และเสียงประกอบ (Movie and Sound) การเพิ่มภาพยนตร์และเสียงประกอบจะทำให้ Web Site มีความน่าสนใจและดึงดูดใจผู้เข้าชมมากขึ้น นอกจากเพิ่มความสวยงามและความสมจริงของข้อมูลแล้ว ยังเป็นการง่ายต่อผู้ใช้ที่จะรับรู้ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ด้วยหรืออาจจะทำการแสดงแฉพาะเสียงประกอบเพียงอย่างเดียวก็ได้ เช่น เสียงเพลงประกอบตลอดเวลาที่ผู้ใช้ดูข้อมูลอยู่ใน Web Site
 4ตัวนับ (Hit Counter) ใช้นับจำนวนผู้เข้าชม Web Site (โดยมีพื้นฐานมาจากการใช้ CGI Script) และทำการวัดประสิทธิภาพของการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ 5. กรอบ (Frame) เพื่อความสวยงามและความสะดวกในการใช้งาน ผู้ออกแบบสามารถทำการแบ่งจอภาพออกเป็นหลายๆส่วน ในกรณีที่ Web Site มีขนาดใหญ่ และมี Linkหลายๆชุดต่อกันออกไปทำให้การที่จะกลับมาที่จุเริ่มต้นสามารถทำได้โดยง่าย หรือการที่ต้องการข้อมูลบางอย่างแสดงผลภาพบางอย่างอยู่ตลอดเวลาใน Web Site
 6. CGI Script เป็นการประมวลผลข้อมูลจากผู้ใช้ด้วย CGI หรือ Common Gateway Interface จะเป็นตัวกลาง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยง Web Site กับผู้ใช้เพื่อใช้ในการเก็บข้อมูลและนำไปประมวลผลส่งกลับให้กับผู้ใช้หรือให้กับผู้ดูแล Web Site (Web Master) เพื่อนำไปใช้ประโยชน์อื่น ๆ ต่อไป เช่น การสำรวจความคิดเห็น ทำ Poll การสั่งซื้อสินค้าทางอินเตอร์เนต การสมัครสมาชิกและอื่น ๆ (หมายเหตุข้อมูลที่ประมวลผลแล้วสามารถนำกลับมาเพื่อแสดงใน Web Site ได้ในภายหลัง

 7. จาวา (Java) เป็นภาษาที่สามารถทำงานโดยไม่ขึ้นกับแพลตฟอร์ม (หมายความว่าJava สามารถทำงานได้แม้ในลักษณะของโปรแกรมที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะทำงานบนWindows NT หรือ UNIX ก็เหมือนกันโดย Java จะนำมาใช้สำหรับการโต้ตอบกับระบบ Multimedia เพื่อเพิ่มความน่าดึงดูดใจของ Web Site เช่นการใส่เสียงเพลง เป็นต้น รวมทั้งการใช้งานด้านความปลอดภัย เช่นการส่งข้อมูลของบัตรเครดิต เป็นต้น นอกจากนี้ยังใช้เป็นคำสั่งในการประมวลผลในลักษณะเดียวกันกับ CGI Script อีกด้วย
 สรุปการออกแบบเว็บและโฮมเพจต้องอาศัยความเข้าใจเบื้องต้นได้แก่ 1.รูปแบบการเชื่อมโยงที่นิยมใช้ในการพัฒนาเว็บ ( Link ) ซึ่งได้แก่
     - การเชื่อโยงในไฟล์เดียวกัน
     - การเชื่อโยงระหว่างไฟล์ 
 HTML และไฟล์ HTML ด้วยกัน
     - การเชื่อโยงจากไฟล์ 
HTML ไปยังเว็บอื่นๆ 2
. การจัดทำภาพข้อความเพื่อนำเสนอในรูปแบบตั้งแต่เบื้อต้นจนถึงระดับที่สวยงามเร้าใจ
     - ภาพที่ใช้ควรอยู่ในตระกูล 
jpg - gif แต่ในปัจจุบันโปรแกรมทั่วๆไปมีความสามารถแปลงไฟล์ให้ได้จากหลายสกุล
     - การใช้ข้อความควรคำนึงถึงฟอนต์ 
( Font ) ซี่งถ้าต้องการความสวยงาม ขนาดคงที่ และแน่ใจว่า ผู้ใช้จะเห็นอย่างนั้นแน่นอนควรจัดทำเป็น Image Text ( ข้อความที่แปลงเป็นภาพ ) เสียก่อนที่จะนำมาเสนอบนเว็บ จะช่วยได้มาก 3.  การออกแบบไฟล์เริ่มต้นของ   Homepage ในชื่อ index.htm หรือ .htm และเก็บไฟล์เป็นชุดหมวดหมู่เพื่อเรียกใช้งานง่ายและไม่เกิดปัญหาในการหาไฟล์ไม่พบ แล้วแสดงผลผิดพลาด 4. การทำเฟรม ( Frame ) การจัดทำเฟรมเป็นการคำนึงถึงผู้ใช้ จึงออกแบบให้เกิดการใช้งานได้สะดวกยิ่งขึ้นคือ
     - ลดการคลิกเลื่อนจอภาพ 
( Scrolling ) 
เพื่ออ่านข้อมูลยาวๆ ในหน้าจอได้
     - จัดแบ่งพื้นที่บนจอให้เกิดระเบียบสวยงามน่าใช้และเป็นสัดส่วนอิสระจากกัน

E-NewsLetter


การทำ E-newsletter
ถ้าจะกล่าวถึงการทำการตลาดบนเว็บไซต์ เครื่องมือที่นิยมใช้กันอย่างหนึ่งก็คือการทำ e-Newsletter แต่การจะทำให้ประสบความสำเร็จ มีคนยอมเปิดอ่านเมล์ คลิกตามลิงค์ต่างๆ และที่สำคัญ Convert จาก Visitor เป็น Customers นี่สิที่สำคัญ เพราะมันหมายถึงเราขายของได้นั่นเอง
สิ่งที่ต้องพิจารณา และข้อควรระวังดังนี้
  1. ลูกค้าเป้าหมายของเราเป็นใคร
  2. ความต้องการของลูกค้าคืออะไร Message ไหนที่จะจูงใจให้เค้าเปิดเมล์
  3. กราฟฟิก ดีไซน์ ต้องสะดุดตา
  4. ทำอย่างไรไม่ให้เมล์ของเราเป็น spam หรือ junk mail
  5. การติดตามผล
การติดตามผล หรือ Tracking report เป็นสิ่งที่นักการตลาดอยากรู้มากๆ เพื่อจะได้วิเคราะห์ออกว่า campaign นี้ สำเร็จมั้ย ต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างในครั้งต่อๆไป อะไรได้รับความสนใจมากที่สุดจะได้เน้นกิจกรรมนั้นๆ ลงไป เดี๋ยวนี้มีโปรแกรมต่างๆ ช่วยในการทำมากมาย เช่น Email Marketing Tracking ที่http://trackemailmarketing.com/ เข้าไปลงทะเบียน gen code tracking ออกมาไปฝังไว้ที่ HTML Code ของ eNews ฉบับนั้นๆ ซึ่งคุณจะได้รายงานสรุปต่างๆ อาทิเช่น
  • Read and Clicked
  • View and Clicked
  • Unique Clicked
  • Who Clicked
  • Repeated Click
ตัวอย่าง eNewsletter


ข้อสำคัญที่ควรรู้
 ·E-Newsletter ช่วยเพิ่ม Lead Generation และ Cross Selling การส่งอีเมลข่าวไปถึงผู้รับในแต่ละเดือนนั้นทำให้คุณคำนึงถึงลูกค้า โอกาสทางธุรกิจ หุ้นส่วน และอื่นๆมากขึ้น มันช่วยให้ความคิดในการพัฒนาการบริการและสินค้าของคุณก้าวไปอย่างไม่หยุดยั้ง
·E-Newsletter เพิ่ม Customer Lifetime Value การรักษาความสัมพันธ์ที่ดีและยั่งยืนของคุณกับลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง คู่แข่งมากมายในตลาดอาจมีสินค้าเหมือนๆกัน ราคาใกล้เคียงกัน ทำให้ลูกค้าสามารถเลือกได้ ฉะนั้นความสัมพันธ์ที่ดีของคุณกับลูกค้าจะเป็นตัวรั้งให้ลูกค้าอยู่กับคุณตลอดไป
·E-Newsletter มีต้นทุนที่ต่ำ แต่ช่องทางการส่งข่าวสารทำได้อย่างรวดเร็ว ฐานข้อมูลที่อยู่ของลูกค้าทำให้คุณเข้าถึงลูกค้าและโอกาสทางธุรกิจได้อย่างทันใจ เมื่อระบบถูกติดตั้งแล้ว คุณไม่เพียงแต่จะส่ง E-Newsletter เท่านั้น การส่งข้อความเตือน ข้อแนะนำติชม หรือข้อความอื่นๆก็สามารถทำได้บ่อยเท่าที่คุณต้องการ
·E-Newsletter ทำให้การเข้าถึงลูกค้าและโอกาสทางธุรกิจเป็น A Two-Way Dialogue ผู้รับสามารถตอบรับหรือติดต่อกลับมาหาคุณได้อย่างง่ายดาย มันเปิดทางให้ลูกค้าได้ติชม ขอข้อมูลเพิ่มเติม หรือแลกเปลี่ยนข่าวสารและแสดงความเห็นได้อย่างสะดวกทั้งสองทาง
·E-Newsletter ช่วยส่งเสริมและผลักดันแผนการตลาด การทำE-Newsletter ไม่ได้ทำลายเวปไชต์ แผ่นพับ หรือวิธีการส่งเสริมการขายของคุณ แต่มันกลับช่วยสนับสนุนแผนการตลาดเดิมที่มีอยู่แล้วให้แข็งแกร่งขึ้นไปอีก
·E-Newsletter ทำให้สามารถรู้ผลการตอบรับได้อย่างรวดเร็วทันใจ การโฆษณาและการเป็นผู้สนับสนุนรายการต่างๆ หรือกลยุทธการทำการการตลาดแบบเดิมๆนั้นอาจช่วยคุณได้ แต่กลยุทธโดยใช้ E-Newsletter นี้สามารถติดตามผลได้โดยสะดวกรวดเร็ว คุณสามารถตรวจสอบได้โดยทันทีว่าเมื่อส่ง E- Newsletter ออกไปผู้รับจำนวนเท่าไรเปิดข่าวสารของคุณ ลิ้งค์ใดบ้างที่ถูกคลิ๊ก หรือแม้แต่ใครเปิดลิ้งค์ไหนก็สามารถรู้ได้ในทันทีทันใด เมื่อเปรียบเทียบการจัดพิมพ์และจัดส่งวรสารในแบบเดิมๆกับ E-Newsletter เห็นได้ชัดว่า E-Newsletter นั้นช่วยลดต้นทุนการจัดพิมพ์และการจัดส่ง ประหยัดเวลาให้คุณอย่างเหลือเชื่อ คุณจะไม่ต้องเป็นกังวลอีกต่อไปว่าวรสารแต่ละฉบับที่ส่งไปยังผู้รับนั้นๆจะคุ้มค่าเงินที่เสียไปการการพิมพ์และการส่งหรือไม่ เพราะต้นทุนของ E-Newsletter นั้นเทียบได้กับศูนย์


E-newsletter ที่สมาชิกกลุ่มได้ทำขึ้น

นายปุริม บดีเศรษฐ์ 5305600145

น.ส.อารีรัตน์ จิตประสพเนตร 5305600109

น.ส.ปัณฑ์พัสธร ดิลกรัตน์สุชาติ 5305600117

น.ส.ธัญญรัศม์ ดิลกรัตน์สุชาติ 5305600116

นายอรรถชัย ภูมิราช 5305600141

Banner


Banner คืออะไร

ขึ้นกับการใช้สิ่งนี้ banner เป็นทั้งภาพกราฟฟิกที่ประกาศชื่อหรือเอกลักษณ์ของไซต์ (และมักจะวางตามด้านกว่างของเว็บ) หรือ เป็นภาพโฆษณา บางครั้ง ผู้โฆษณานับ banner ตามการ “ดู” หรือจำนวนครั้งของภาพกราฟฟิกได้รับการดาวน์โหลดตามช่วงเวลา
Banner (แบนเนอร์) สามารถหมายถึง
          - ป้ายโฆษณา แผ่นป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ โดยส่วนใหญ่จะเป็นแผ่นป้ายยาว
          - เว็บแบนเนอร์ กรอบคำโฆษณาสำหรับติดไว้ในเว็บไซต์อื่น เพื่อชักจูงให้คนเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของตน
ตัวอย่าง ป้าย "Banner" สวยๆ

  

  

  
ขนาดของ Banner ทั่วๆไป จริงๆแล้วก็ไม่ได้มีการกำหนดค่าแบบตายตัวเท่าไหร่
น่าจะขึ้นอยู่กับคนทำว่าต้องการใช้รูปขนาดไหน
แต่ขนาดทั่วๆไปที่พบเห็นขนาดเล็กๆจะมี 
50x50 88x31 100x35 ไปเรื่อยๆ
สำหรับครั้งนี้จะมาสอนการทำขนาด 100x50 นะ ^^)
วิธีทำแบบแบนเนอร์นี้สามารถนำไปปรับใช้กับการทำขนาดอื่นๆได้
ขั้นที่หนึ่งเปิด โปรแกรม  Adobe Photoshop ขึ้นมา

สั่ง 
File > New จากนั้นก็ตั้งค่าตามรูปด้านล่างนี้
1. Width : ตรงหน้าเป็นขนาดความกว้างของรูปที่เราต้องการ ซึ่งเรากำหนดให้กว้าง 100
ด้านหลังอย่าลืมเลือกเป็น 
pixels ด้วยนะ เพื่อที่ขนาดรูปของเราจะได้ออกมาตรงกัน2. Height : กำหนดความสูง ของเรากำหนดให้อยู่ที่ 50 นะ (ในรูปพิมพ์พลาดเล็กน้อย)
3. Resolution : กำหนดไว้ที่ 300 เพราะรูปจะได้ยังเห็นชัดแม้เป็นภาพเล็ก4. Color Mode : เลือกเป็นโหมด RGB เพราะเราจะทำภาพสี
5. Background Contents : เลือกให้เป็น Transparent เพราะด้านหลังจะได้ทะลุได้
ขั้นตอนที่ 2
หลังจากที่เราได้งานขนาด 
100x50 ออกมาแล้ว
ให้สร้างสี่เหลี่ยมขึ้นมาโดยกดเลือกใช้เครื่องมือ  จากแถบเครื่องมือ
โดยตอนที่สร้างสี่เหลี่ยมจะต้องเหลือขอบๆเอาไว้นะ (แบบในรูป)
เพราะว่าถ้าสร้างสีเหลี่ยมทั้งหมดจะทำกรอบโค้งมนไม่ได้ (ไม่รู้ทำไม)
ขั้นตอนที่ 3
เลือกกดคำสั่งจากแถบบนตามนี้ Select > Modify > Smooth
แล้วเราก็จะเจอหน้าต่างแบบนี้มาให้กำหนดค่า
อยากให้กรอบของเราโค้งมลขนาดไหนก็กำหนดเอาเลย ^^
ขั้นตอนที่ 4
หลังจากที่เส้นประของเราแสดงผลให้ดูว่ามลพอใจเราแล้ว
ก็เลือกคำสั่ง 
Edit > Stroke แล้วก็จะมีหน้าต่างแบบนี้มาให้เรากำหนดค่า
(1) Width : กำหนดความหนาของเส้นขอบ
(2) Color : เลือกสีที่จะทำเส้นขอบ
(3) Location : กำหนดว่าจะให้ขอบแสดงผลยังไหน ข้างใน ตรงกลาง หรือ ข้างนอก
ถ้ากำหนดค่าแบบเดียวกับในรูปด้านบนก็จะแสดงผลออกมาเป็นแบบรูปด้านล่างนี้
ขั้นตอนที่ 5
จนถึงตอนนี้เราได้กรอบมาแล้ว...ก็จะเริ่มมาทำตัวหนังสือกันบ้าง
สำหรับ ฟอนต์ ที่ใช้ทำฺ
 Banner นั้นจะต้องเลือกเป็นฟอนต์ประเภท Bitmap
ซึ่งสามารถหาได้จากเว็บนี้ http://www.dafont.com/bitmap.php
เลือกฟอนต์ 
Bitmap ที่ถูกใจมาติดตั้งใช้ในเครื่องได้เลย >__<)v
หลังจากพิมพ์คำพูดที่เราอยากได้ลงไปแล้วก็ใส่กรอบเพื่อให้มองเห็นชัดขึ้น
อันนี้เราเลือกใช้ฟอนต์ 
5x5 นะ 
ขั้นตอนที่ 
เลือกรูปที่เราอยากใช้มาใส่ไว้ Layers ล่างสุด ตามภาพเลย
พอเอามาใส่แล้วก็จะแสดงผลตามภาพด้านล่างนี้เลย
อย่าลืมลบภาพที่เกินออกมาจากกรอบออกให้เรียบร้อยจากนั้นก็สั่ง Save
File >  Save for web > Save > จะได้ภาพออกมาเป็นนามสกุล gif 
และภาพบนนี้ก็คือหน้าตาของ Banner ที่เสร็จสมบูรณ์แล้วนั่นเอง
นี่เป็นเพียงการทำแบนเนอร์แบบง่ายๆรูปแบบนึงเท่านั้น  ความจริงแล้วมีลูกเล่นอีกเยอะมากที่เราสามารถนำมาใช้ควบคู่ไปด้วยได้
หรือบางที่อาจทำเป็นภาพเคลื่อนไหวก็ได้ ยังไงก็ลองทำกันดูแล้วกันนะ 
^^